เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ม.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเพื่อให้หัวใจเข้มแข็งไง หัวใจของเราถ้ามีสัจธรรม มีธรรมะในใจขึ้นมา มันอยู่กับโลก ผู้ที่มีคุณธรรมอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก อยู่กับโลกนะ

 

วันขึ้นปีใหม่ เราหยุดมาหลายวัน หยุดมาหลายวันมาวัดมาวามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ มาเพื่อหาสัจจะความจริงในใจของตน ถ้าหาสัจจะความจริงในใจของตนได้ กลับไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง โลกแห่งความเป็นจริงมันต้องมีการแข่งขัน เวลาการแข่งขันมันก็ต้องมีสติมีปัญญาให้รู้เท่าทันเขา ถ้ารู้เท่าทันเขา นี่โลกแห่งความเป็นจริงไง

 

แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เรามาอยู่วัดอยู่วา มาจำศีล มาประพฤติปฏิบัติธรรม มันเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องของเราไง ถ้าเรื่องของเรา เราต้องเอาชนะตัวเราเอง เห็นไหม เวลาเราเปรียบเทียบทางโลก โลกต้องมีการแข่งขัน เราก็อยากจะมีหมู่คณะที่ดี อยากมีสังคมที่ดี เวลาแข่งขัน แข่งขันด้วยความเป็นธรรม ถ้าการแข่งขันด้วยความเป็นธรรมอย่างนั้นน่ะ

 

ทุกคนเกิดมาก็มีสิทธิเสรีภาพเหมือนกันทั้งสิ้น แต่เวลาเราไปแข่งขันขึ้นมา เวลาทำสิ่งใด ถ้าเราไม่มีจุดยืน เราเป็นเหยื่อเขาทั้งนั้นน่ะ คำว่า “เป็นเหยื่อ” นะ มันเป็นถึงวาระ คำว่า “วาระ” คือว่ากรรมมันให้ผลๆ กรรมให้ผลแล้วมันเชื่อไปหมดเลย อะไรดีไปหมด แต่ถ้าถึงเวลามันจะขัดแย้ง คัดค้านเขา มันก็ไม่สมเหตุสมผลเลยไง เวลากรรมมันให้ผลไง

 

แต่ถ้ามันเป็นความเป็นจริง ใจเราวางให้เป็นกลาง แล้วเราใช้ดุลพินิจของเราพิจารณาเรา สิ่งใดที่เป็นประโยชน์เราก็ทำสิ่งนั้น สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ก็ละวางไป ละวางไป อย่าไปสร้างเวรสร้างกรรมทั้งสิ้น เห็นไหม เรารักษาหัวใจของเรา รักษาหัวใจของเราไง สัจธรรมมันเป็นความจริงทางโลก

 

แต่ความจริงทางธรรมๆ นกเวลามันไปเกาะคอน มันบินมาเกาะคอนด้วยความนุ่มนวลของมัน เวลามันจากไป มันจะบินออกไป มันต้องกระพือ ต้องใช้แรงของมัน สั่นคลอนไปหมด ชีวิตเราก็เหมือนกัน เวลาเราเกิดมาๆ มีแต่ความชุ่มชื่น มีแต่ความดีงามทั้งนั้นน่ะ แล้วชีวิตของเราทั้งชีวิต เราก็ต้องพยายามหาประโยชน์ หาความจริงกับเราๆ

 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านจะหาความจริงๆ หาความจริงในใจอันนี้นะ เวลาเที่ยวธุดงค์ไป เข้าป่าเข้าเขาไปตลอดเลย ไปทำไม ก็ไปค้นหาหัวใจของตน เวลามันอยู่ในหมู่ในคณะ มันอยู่ในสังคม มันกะพึ่งพาอาศัยเขาทั้งนั้นน่ะ มันส่งออกไป หวังจะพึ่งคนนั้น หวังจะพึ่งคนนี้ หวังจะให้คนนั้นช่วย หวังไปหมดเลย เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป เราคนเดียวแล้ว เราคนเดียว เวลาเราคนเดียว วิตกกังวลไปหมด เวลาอยู่ในสังคมก็ยังไม่ค่อยว้าเหว่ เวลาไปอยู่ในป่าในเขา พอมันไปอยู่คนเดียว คิดถึงเขา ถ้าเราอยู่เราจะทำดี๊ดีเลยนะ นี่เวลาคิดถึงเขา เวลาอยู่ด้วยกันก็กระทบกระเทือนกันเรื่อย เวลาจากไปๆ ก็ไปคิด ถ้าเราอยู่แล้วเราเป็นห่วงเป็นใยเขาไปทั่วเลย

 

ห่วงใยตัวเองให้ได้ก่อน ห่วงใยตนเองให้ได้ ค้นคว้าหาสัจจะความจริงให้ได้ ถ้าค้นคว้าหาสัจจะความจริงได้ พอมันเท่าทันความคิดของตนแล้วมันจะไปห่วงใยใคร ก็ห่วงใยเราสิ ถ้าห่วงใยเราสิ เรามาเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าเพื่อประโยชน์กับเรา

 

ถ้าเวลาสัจจะความจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใจที่มันสัมผัสได้ๆ ใจที่สัมผัสได้คือใจที่ได้ฝึกดีแล้ว ใจที่ฝึกดีแล้วมันไม่ระโหยโรยแรงจนเกินไปไง ใจที่ยังไม่ได้ฝึกเลย มันระโหยโรยแรง แล้วโทษไปหมดเลย เวลาหลวงตาท่านสอน เห็นไหม มันจะดีจะชั่วมันเรื่องของเขา เราจะทำความดีว่ะ เราจะทำความดีว่ะ มันเรื่องของเรา

 

เวลากิเลสแล้วมันคลุกเคล้ากันไปหมดเลย ทั้งเรื่องของเรา ทั้งเรื่องของเขา ทั้งเรื่องของเรา ทั้งเรื่องของคนนั้น ทั้งเรื่องของคนนี้ แล้วไม่รู้เรื่องอะไรเป็นเรื่องอะไรเลย

 

เรื่องอย่างนั้นมันก็เป็นจริตนิสัย เป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์นะ สิทธิเสรีภาพใช่ไหม เขาก็มีสิทธิคิดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นที่เวรกรรมเขาสร้างมาอย่างนั้น เขาก็คิดของเขาอย่างนั้น ไอ้เรา เราก็มีสิทธิคิดของเราเหมือนกัน แต่ถ้ามีสิทธิคิดของเราเหมือนกัน คิดแล้วเราก็มาทบทวนของเราเองว่ามันถูกต้องดีงามหรือไม่ มันเป็นจริงหรือไม่ ทำไปแล้วมันจะให้ผลดีหรือผลร้าย ถ้าให้ผลร้าย มันไม่ควรทำๆ ไง มันยับยั้งชั่งใจให้ได้ ถ้ายับยั้งชั่งใจให้ได้ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนถ้ามันยับยั้งได้แล้วมันจะมีทุกข์ภัยจากข้างนอกมาได้อย่างไร

 

เวลาทุกข์ภัยที่เกิดมาจากข้างนอก ก็เราไปตบมือร่วมกับเขา ตบมือสองข้างๆ เขาตบมือข้างเดียวก็เรื่องของเขา เราพยายามรักษาหัวใจของเรา แล้วรักษาหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา เรื่องของเรา เรื่องของเราดูแลที่นี่ไง

 

เวลานกเวลามันลงจากเกาะคอน โอ้โฮ! นุ่มนวล ดูแล้วมันมีความสุข เวลามันจากไป มันต้องบิน ต้องจากไป มันต้องออกกำลังกายทั้งนั้นน่ะ มันต้องออกแรงของมัน เวลาร่างกายของเราก็เหมือนกัน ถ้าร่างกายของเรา เวลาเกิดมา เกิดมาจากพ่อจากแม่นะ ถ้าเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เรามีความกตัญญูกตเวที ชีวิตนี้ได้มาแล้วมันมีค่า คำว่า “มีค่า” ได้ลืมตาดูโลกมันมีค่ามาก เวลามีค่ามากแล้ว สิ่งที่เราศึกษาค้นคว้ามามันเป็นความจริงหรือไม่ ถ้าเป็นความจริง มันเป็นอาชีพของเรา เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา คิดงานๆ เราก็คิด พอคิดงานเสร็จแล้วเราก็วางให้ผ่อนคลายหัวใจของเรา อย่าให้มันคิดแล้วเอามาสุมหัวอกจนมีความทุกข์ความยากไง

 

หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงาน ทำแล้วเราก็ได้ทำแล้ว สิ่งที่ทำแล้วถ้ามันประสบความสำเร็จมันก็ประสบความสำเร็จขึ้นมา ถ้ามันยังไม่ประสบความสำเร็จขึ้นมา เราก็แก้ไข ดูความขาดตกบกพร่องของเรา นี่คิดงานๆ คิดงานเสร็จแล้วเราก็วางไว้ ให้หัวใจไม่ต้องไปทุกข์ไปยากจนเกินไปนัก เวลาจะพักผ่อน เวลาจะผ่อนคลายมัน ผ่อนคลายไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่ายางเหนียวไง มันติดไปหมด ถึงต้องมีกำหนดพุทโธๆ ไง

 

เวลาพุทโธ มันไม่มีใครสูงส่งไปกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาประพฤติปฏิบัติ เราบอกประจำ ถ้าเป็นเรานะ เรากอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ เราไม่ผิดแน่ๆ เราพุทโธของเราไว้ เราพุทโธของเราไว้ไง ถ้าพุทโธของเราไว้เพื่ออะไร พุทโธไว้เพื่อให้ใจมันผ่อนจากสิ่งที่มันพลั้งเผลอไปหยิบจับไง หยิบจับคือมันฉกฉวยอารมณ์ความรู้สึกที่มันทุกข์มันยากนั่นไง

 

บอกว่า เวลามันคิดงานมันทุกข์มันยากขึ้นมา เราจะวางความคิด แล้วไปวางตรงไหนล่ะ วางความคิด จะปล่อยวางไปโดยที่มันจะไปอยู่บนอะไรล่ะ ธาตุรู้ๆ ธรรมชาติที่มันรู้อยู่นี่มันต้องรับรู้ตลอดเวลา มันจะไปรู้อะไรล่ะ มันก็รู้สิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยาก รู้สิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นประโยชน์กับเรา เราคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเรา ก็เราคิดงาน เราคิดงานมันจะเสียหายไปไหนล่ะ

 

คิดงาน แต่เวลาหน้าที่การงาน ไอ้นั่นมันคิดซ้ำ คิดซ้ำคิดซาก คิดใช้พลังงานโดยเปล่าประโยชน์ไง ถ้าเราคิดซ้ำคิดซาก มันคิดงาน มันคิดต่อเนื่อง คิดแบบอารมณ์โลกไง เราอ่านหนังสือนิยายสิ เราดีใจเสียใจไปกับเขาทั้งนั้นน่ะ เราสงสารคนนั้น เราเห็นใจคนนี้ มันไปหมดเลย

 

แต่ถ้าเราคิดพุทโธๆ พุทแล้วก็โธ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิตก วิจาร ให้จิตมันอยู่ที่นี่ พอจิตอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่คิดแบบอารมณ์โลก มันไม่มีสัญญาอารมณ์ต่อเนื่องกันไปไง มันไม่คิดเสียใจดีใจไปกับเขาไง เราระลึกถึงพุทโธ เวลาคนพุทโธใหม่ๆ มันพุทโธไม่ได้หรอก จืดชืด กดดัน เครียด นั่นน่ะมันไม่ชอบ มันชอบสิ่งที่มีอารมณ์ไง สิ่งที่อารมณ์ร่วม คิดแล้วดี คิดแล้วชั่ว โอ๋ย! คิดถึงพ่อถึงแม่ โอ้โฮ! มีความสุข เวลาคิดพุทโธ จืดชืด มันไม่ยอมคิด เห็นไหม นี่พูดถึงว่า ถ้ามันจะปล่อยวางมันปล่อยวางได้อย่างนี้

 

เวลาคิดถึงพ่อคิดถึงแม่นี่ความดีทั้งนั้นน่ะ แต่ความดี เราอยู่กับพ่ออยู่กับแม่ เราได้ดูแลท่านหรือไม่ เราเชื่อฟังท่านหรือไม่ อันนั้นต่างหากมีความสำคัญมากกว่า แต่เวลาคิดนี่กิเลสมันหลอก มันหลอกว่าเราคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ เวลามันอยู่กับบ้านมันไม่เคยเห็นพ่อเห็นแม่หรอก มันทิ้ง มันจะไปเที่ยวกับเพื่อนมัน มันไม่สนใจเลย แต่เวลามันคิดนะ มันทำนองว่าคิดดี นี่เราไม่ทันความคิดเราไง

 

แต่ถ้าระลึกพุทโธ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันอยู่กับพุทโธได้ ใครฝึกหัดพุทโธ คนที่มีอำนาจวาสนานะ คนที่มีศรัทธาความเชื่อนะ มีความมั่นคงในหัวใจนะ เวลาระลึกถึงพุท ระลึกถึงโธ เวลาพุทโธกับใจมันกลมกล่อมกัน พอมันระลึกพุทโธได้แล้ว มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว มันไม่แฉลบแล้ว เอ๊อะ! เอ๊อะ! แปลกเนาะ เอ๊อะ! ดีเนาะ เพราะพลังงาน จิตตัวนี้ เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดนะ จิตนี้มหัศจรรย์นัก จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก

 

จิตนี้คิดเรื่องดีๆ คิดจนเป็นเอกบุรุษ เป็นรัฐบุรุษขึ้นมาได้ คิดชั่ว ทำร้าย ทำลายเขาไปทั่ว ความคิด จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตคิดดีทำดีนะ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา มนุษย์ที่สังคมชื่นชม มนุษย์ที่เห็นคุณค่า ถ้ามันคิดดี จิตเป็นได้หลากหลายนัก เวลามันคิดชั่ว เห็นไหม หนักแผ่นดิน ถ้ามันตายไปซะ แผ่นดินจะได้สูงขึ้น นี่ไง จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก เป็นไปด้วยอะไร เป็นไปด้วยการบำรุงรักษา เป็นไปด้วยปัญญา ปัญญาที่ฝึกหัดที่คุ้มครองดูแลไง

 

เรามาวัดมาวากัน เรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนให้เราเป็นคนดี สอนความดี เป็นคนดีไปทำไม

 

ความดีเป็นหนทาง เป็นหนทางให้จิตมันก้าวเดินให้พัฒนาดีขึ้น ความชั่ว ความชั่วก็เป็นหนทางเหมือนกัน แต่หนทางให้จิตมันเลวร้ายลงไป เห็นไหม ตกนรกอเวจีมันทุกข์มันยากของมันไป ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราก็คัดแยกของเราอย่างนี้ ถ้ามันคัดแยกไม่ได้ เรายังไม่มีสติปัญญาสามารถจะรู้เท่าทันกิเลสในใจของเรา ไม่มีสติปัญญาสามารถที่จะยืนตัวเองขึ้นมาได้ไง เราถึงต้องกำหนดพุทโธ คำบริกรรมๆ คำบริกรรมคือเกาะไว้ เหมือนเด็กหัดเดิน เด็กหัดเดินมันจะเกาะระเบียงไป เกาะสิ่งใดไปเพื่อฝึกหัดให้มันเดินขึ้นมาได้

 

เรากำหนดพุทโธๆ จนจิตมันเป็นพุทโธเสียเอง ถ้าจิตมันเป็นพุทโธเสียเอง ไม่ต้องระลึกพุทโธ มันเป็นพุทโธ ความรู้สึกเป็นพุทโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วมันตื่นอย่างไรล่ะ

 

เราแปลกใจนะว่า สมาธิมันเป็นอย่างไร ความร่มเย็นเป็นสุขมันเป็นอย่างไร เราแปลกใจ เราอยากสัมผัส แต่เราไม่เคยได้สัมผัสเลย แล้วก็ฟังเขาเล่าว่า ฟังคนนู้นบอก ฟังคนนี้บอก แล้วบอกว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ เราก็สร้างอารมณ์ ว่างๆ ว่างๆ...มันว่างๆ มันก็ธาตุรู้ สิ่งที่ถูกรู้ มันรู้ความว่าง ธาตุรู้คือตัวภาสวะ ตัวภพ เวลามันไปรู้นะ มันก็รู้ส่งออกเหมือนกัน

 

นี่พูดถึงว่า เราจะรักษาหัวใจของเรา เราจะปล่อยวางไง ปล่อยว่าง ปล่อยวางอย่างไร พอปล่อยวางแล้วคิดว่าปล่อยวาง ปล่อยวางนี้เป็นความคิดทั้งนั้นน่ะ ความคิดแบบโลกๆ ไง สิ่งนี้เป็นสถานะของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีความรู้สึกนึกคิด นี่ไง เวลาเทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ภาษาใจๆ ภาษาใจกำหนดหัวใจเลย แต่ของเราต้องมีภาษาพูด ภาษาของเรา เห็นไหม มนุษย์มีการสื่อสารแบบนี้ ถ้ามนุษย์มีการสื่อสารแบบนี้ จิตมันก็เลยมีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ เราจะทำความดีงามของเราขึ้นมา

 

นี่พูดถึงว่า ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันก็รักษาขึ้นมาได้ ถ้ารักษาขึ้นมาได้ คนเราสุขภาพกาย สุขภาพจิต เราสร้างสมบุญญาธิการมา เราทำหน้าที่การงานมามหาศาล แต่เสร็จแล้วเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันมีประโยชน์อะไร

 

เรามีเงินมีทองขึ้นมา ร่างกายเราอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา เราทำเพื่อประโยชน์ได้ไง แล้วถ้าจิตใจ จิตใจที่มันผิดปกติ จิตใจที่มันมีปัญหาขึ้นมา มันมีประโยชน์อะไร แต่ถ้าเรารักษา มีสติมีปัญญาขึ้นมา รักษาหัวใจให้เรากลับมาเป็นปกติ แล้วถ้ามีอำนาจวาสนานะ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจมันสงบแล้ว ถ้ามันเกิดปัญญา มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่เป็นปัญญาของบุคคลคนนั้นไง

 

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเกิดผลในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมด้วยอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราไปศึกษาสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

 

แต่เวลาถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เราพยายามฝึกหัด ที่ว่าทำความสงบของใจเข้ามาก่อนๆ เพราะความสงบนี้มันจะระงับ ระงับความสามัญสำนึกที่ความเป็นโลกนี่ ความเข้าข้างตัวเองนี่ สมาธินี้เป็นตัวตนๆ ตัวตนนี้ไม่เอียงข้าง ตัวตนเป็นสากล สมาธิเป็นสากล ลัทธิไหนก็สอนทำสมาธิๆ เราไม่คิดว่าเป็นของเรา เราไม่คิดเข้าข้างเรา เราไม่คิดต่างๆ ทั้งสิ้น เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมาเป็นปัญญาสัจจะความจริง

 

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนถ้าทำให้จิตของเรามีมรรคมีผลขึ้นมา มีมรรคมีผลขึ้นมาคือมันมีศีล มันมีสมาธิ สมาธิมันมีที่ไหน มันมีในหัวใจ มันมีในหนังสือหรือ มันมีในคำบอกเล่าหรือ มันมีคนอื่นยื่นให้หรือ

 

คนอื่นเวลาทุกข์เวลายาก เวลาคนเขาเห็นเรา เขาเห็นใจเราด้วยสายตา สายตาที่เขาเห็นอกเห็นใจเรานะ เราก็รับรู้ได้ แต่ถ้าจะขวนขวายกระทำ เราก็ต้องทำขึ้นมาเองนั่นน่ะ ถ้ามันเป็นจริงๆ มันจะเป็นจริงอย่างนี้ นี่สัจจะความจริงๆ

 

ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาปัญญามันเกิดขึ้น เราจะเห็นว่า อ๋อ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายมาในใจเรานี้ ท่านมุ่งหมายมาให้เราฉลาด ท่านมุ่งหมายมาให้เรารู้จริง ท่านมุ่งหมายมาให้เราเกิดการกระทำขึ้นมาในใจของเรา มันก็เลย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ อย่างเด็ก เรามีพ่อมีแม่คุ้มครองดูแลมา นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็มีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยแนะ แล้วถ้ามันเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริง ธมฺมสากจฺฉา อันนั้นน่ะ ความจริงเป็นความจริงมันเข้ากัน สิ่งที่มันขัดแย้งกันมันต้องมีถูกมีผิดแน่นอน แต่ถ้าเป็นความจริง ความเป็นจริงเข้ากันอย่างนั้น เห็นไหม

 

นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเป็นไป เรามาวัดมาวา มาวัดมาวาเพื่อให้เห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาพระธรรมๆ สัจธรรม สัจธรรมเป็นอกาลิโก ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ ใครๆ ก็สัมผัสได้ ในพระพุทธศาสนา เวลาที่เราต้องไปหาครูบาอาจารย์ของเราก็ไปหาครูบาอาจารย์ของเราเพื่อเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นแบบอย่าง แต่เวลาจริงๆ ขึ้นมา เราต้องทำของเราขึ้นมา ถ้าเราทำขึ้นมาได้ มันก็มีแนวทาง ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้เราก้าวเดิน ถ้าเราก้าวเดินได้ มันก็จะเป็นสมบัติของเรา

 

นี่พูดถึงว่า วันปีใหม่ เราหยุดมาหลายวัน เรามาวัดมาวามาฟื้นฟู มาฟื้นฟูกำลังใจ เราประพฤติปฏิบัติกัน เวลาเราไปวิเวกกลับมา เวลากลับมาก็หาครูบาอาจารย์ เพื่ออะไร เพื่อชาร์จไฟๆ เวลาไปอยู่คนเดียวมันใช้มาก คิดมาก คิดจนจิตใจอ่อนแอ โอ๋ย! โหยหานะ กลับไปหาครูบาอาจารย์ กลับไปทำไม ก็กลับไปชาร์จไฟ ก็กลับไปให้ท่านเทศน์นั่นน่ะ โอ้โฮ! แช่มชื่น ไปได้ใหม่ นี่ก็เหมือนกัน เราหวังพึ่งกันอย่างนั้นไง

 

ถ้าโดยเราคนเดียว เราหลงทางไป ไม่มีที่พักที่อาศัย ไม่มีที่พึ่งพิงเลย โอ๋ย! มันทุกขข์ร้อนนะ แต่ถ้าเราหลงทางไป ยังมีศาลาข้างทาง มีอะไรให้พักให้ผ่อน มันก็ยังพอบรรเทาทุกข์เราได้

 

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตนี้ของเราไง ชีวิตนี้ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดี ถ้ามีหมู่คณะที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องดีงาม ทำถูกต้องดีงาม ย้อนกลับมาที่หัวใจของสัตว์โลก ย้อนกลับมาหัวใจของทุกๆ คน เพราะทุกๆ คนต้องทำใจของตนให้เป็นคนดี ให้มีมรรคมีผลขึ้นมาเพื่อให้เกิดสัจธรรมในใจของบุคคลคนนั้น เอวัง